น้ำมันปลาทูน่าประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว โอเมกา- 3 ที่ให้สาร
กรดโคโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) - มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองโดยเฉพาะด้านความจำและการเรียนรู้ สาร DHA ผ่านเข้าไปในสมองและเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่า เดนไดรต์ (Dendrite) ซึ่งจะทำหน้าที่ถ่ายทอดสัญญาณและผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์สมองด้วยกัน ทำให้เกิดความจำและการเรียนรู้
สาร DHA มีมากในปลาทะเล (deep sea fish) เช่นปลาทูน่า ปลาโอลาย ปลาทู ฯลฯ การบริโภคปลาทะเลประมาณ 30 กรัมต่อวันและ 2 - 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถเพิ่มกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-3 ในอาหารได้สูงถึง 0.2-5.0 กรัมต่อวันซึ่งหมายถึงได้รับสาร DHA สูงขึ้นด้วยเนื่องจากมีมากในกรดไขมันดังกล่าว
กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (EPA) - คุณสมบัติทำลาย โคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุของเส้นเลือดตีบตัน โรคหัวใจ ฯลฯ
EPA จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ การสังเคราะห์ Prostaglandin และลดการหลั่ง Serotonin ของเกร็ดเลือด ทำให้การรวมกลุ่มของเกร็ดเลือดลดลง ในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมอง ดังนั้นการให้ EPA จะสามารถลดอาการของไมเกรนลงได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการใช้กรดไขมัน Omega-3 อาจจะมีปัญหาในผู้ที่ป่วยด้วยโรคบางประเภท เช่น ในกรณีของผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่ง Insulin (NIDDM) พบว่าอาจจะทำให้การ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทำไม่ได้ เนื่องจากเชื่อว่าจะเกิด Glycerol จากการย่อยสลายน้ำมันปลาผ่านเข้าสู่กระบวนการสร้าง Glucose (Gluconeogenesis) มากขึ้น ระดับ Glucose จึงสูงขึ้นถึงระดับที่ควบคุมไม่ได้
Ref: http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/anatomy/dha.htm
http://www.gpo.or.th/rdi/html/t15-t16.html
http://elib-online.com/doctors/food_fish3.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น