โอเมก้า 3 จากปลาทะเล
น้ำมันหรือไขมันจากเนื้อ ปลาทะเลมีองค์ประกอบแตกต่างจากน้ำมันพืชทั่วไป คือน้ำมันจากปลาทะเลจะมีกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) ต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไขมันประเภทโอเมกา-3 ซึ่งมีอยู่เป็นปริมาณมาก กรดไขมันที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic Acid : DHA) และกรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic Acid : EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อระบบสรีรวิทยาของร่างกาย ระบบการเติบโต และเยื่อเซลล์ น้ำมันจากเนื้อปลาทะเลแตกต่างจากน้ำมันตับ ปลา คือน้ำมันตับปลาเป็นน้ำมันที่สกัดมาจากตับของปลาทะเลบางชนิด เช่น ปลาคอด (Cod Fish) น้ำมันปลาเหล่านี้มีวิตามิน A และ D อยู่ ในปริมาณสูง ไขมันในรูปไตรกลีเซอไรด์ของน้ำมันก็มีปริมาณกรดไขมันประเภทโอเมกา-3 ค่อนข้างสูง แต่ก็มีกรดไขมันพวกที่มีพันธะคู่ 1 พันธะ (Monoenoic Acid) เป็นปริมาณสูงด้วย ซึ่งการบริโภควิตามิน A และ D มากๆ ทำให้เกิด Toxicity จากวิตามิน A และ D ได้ น้ำมันปลาเป็นน้ำมันที่ สกัดมาจากส่วนหัว หรือเนื้อปลาทะเล โดยน้ำมันที่สกัดได้จะเป็น Crude Oil ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เช่น อาหารกุ้ง อาหารปลา ประโยชน์ที่มีต่อสัตว์ได้แก่ เป็นตัวกำเนิดของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตและเกี่ยวข้องกับระบบ สืบพันธุ์ เป็นตัวกำเนิดฮอร์โมนที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดและโปรตีนที่สร้างภูมิต้านทาน โรค มีผลต่อผนังเซลล์ การยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ และการแพร่ผ่านของสารอาหารโดยเฉพาะในขณะที่อุณหภูมิต่ำ มีผลต่อระยะเวลาการลอกคราบของกุ้ง ช่วยประหยัดโปรตีน เพิ่มประสิทธิภาพของอาหาร และทำให้แป้งและโปรตีนไม่ถูกทำลาย ทำให้อัตราการแลกเปลี่ยนเนื้อต่ำ มีการใช้อาหารน้อยลง มีโคเลสเตอรอลสูงถึง 1% ซึ่งกุ้งสามารถนำไปสร้างฮอร์โมนที่ใช้ในการเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ การลอกคราบ และสร้างวิตามิน D อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ชั้นล่างด้วย เมื่อนำ Crude Oil มาผ่านกรรมวิธีการกลั่นให้บริสุทธิ์ จะได้น้ำมันที่ผ่านกรรมวิธีโดยน้ำมันปลาที่ได้นี้จะมีปริมาณ DHA และ EPA แตกต่างกันไปตามชนิดของเนื้อปลา (ตารางที่ 1) โดยจะพบว่าปลาทูน่ามีปริมาณของ DHA และ EPA สูงมาก ตารางที่ 1 ปริมาณ DHA และ EPA ในปลาทะเลบางชนิด
น้ำมันที่ผ่านกรรมวิธีนี้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ โดยช่วยลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด ช่วยป้องกันการสะสมของโคเลสเตอรอลตามผนังหลอดเลือด โดยโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดจะถูกพากลับไปที่ตับเพื่อเผาผลาญหรือนำไปใช้ใน การสร้างวิตามินและฮอร์โมนเพศที่ร่างกายต้องการ ช่วยป้องกันการเป็นโรคหัวใจเฉียบพลันเนื่องจากโลหิตจับเป็นก้อน ชะลอการเกิดหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว และช่วยลดความดันโลหิต นอกจากนี้ประโยชน์ที่สำคัญอื่นๆ ของน้ำมันปลาได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาทางสมองของทารกในครรภ์และช่วยให้สมองของมนุษย์ทำงานได้ดี ขึ้น ป้องกันโรคความจำเสื่อม ช่วยลดอาการปวดบวมของผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมปลา ทูน่ากระป๋องมาก มาย ในปี พ.ศ. 2536 มีการส่งออกปลาทูน่ากระป๋องเป็นปริมาณ 229,901 เมตริกตัน คิดเป็นมูลค่า 13,062.8 ล้านบาท และมีน้ำมันปลาทูน่าเป็นผลพลอยได้รวมประมาณ 1500-2000 ตันต่อปี น้ำมันปลาทูน่าเหล่านี้จะจำหน่ายในรูปของน้ำมันดิบและน้ำมันกึ่งรีฟายน์ให้ แก่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ในราคากิโลกรัมละ 15-65 บาท หากมีการทำให้บริสุทธิ์ขึ้นจะสามารถนำน้ำมันปลาไปใช้ในลักษณะอื่นๆ เช่น ใช้เป็นอาหารเสริมโดยบรรจุอยู่ในรูปแคปซูล ใช้ในรูปของอาหารทั่วๆไป โดยนำน้ำมันปลาผสมในอาหารต่างๆ ใช้ในการผลิต Salad oil, Table magarines, Low calories spread, Industrial magarines และ Shotenings ที่ใช้ในการทำขนมปัง Pastries, Cakes, Cookies, Biscuits, Imitation creams และ Emulsifiers เนื่องจากน้ำมันปลามี ประโยชน์ดังที่กล่าว มา ดังนั้นน่าจะต้องมีการศึกษาและพัฒนาการผลิตน้ำมันปลาให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น จึงมีแนวคิดที่จะทำน้ำมันนี้ให้บริสุทธิ์ และเพิ่มความเข้มข้นของกรดไขมัน DHA และ EPA เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณค่าเหมาะสมต่อการบริโภคของคน อันจะเป็นการเพิ่มคุณค่าของทรัพยากรและลดการนำเข้าน้ำมันปลาเพื่อใช้เป็น อาหารเสริมได้ นอกจากนี้ยังจะส่งผลให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เช่น ฟอสฟอลิปิดที่มีกรดไขมัน DHA และ EPA ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเยื่อเซลล์ของสมองและนัยน์ตา น้ำมันปลาทูน่าเป็นน้ำมันที่มีคุณค่าสูงกว่าน้ำมันตับปลาคอด ที่วางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปคือ น้ำมันปลาทูน่ามีปริมาณ DHA สูงมาก 25-28% และ EPA 5-8% ในขณะที่น้ำมันตับปลาคอดจะมีปริมาณ DHA เพียง 8% และ EPA 12.8% (1) นั่นคือประเทศไทยมีแหล่งน้ำมันปลาทะเลที่มีคุณค่าอย่างมาก แต่ยังสามารถพัฒนานำไปใช้ประโยชน์ได้เพียงส่วนน้อย |
Thailand has the largest Tuna business in the world, congratulation!
ตอบลบ